CRVO (Central retinal vein occlusion)

โรคซีอาร์วีโอ หรือโรคหลอดเลือดดำจอดตาอุดตัน เป็นโรคที่ไม่อันตรายในกรณีเป็นแบบไม่รุนแรง ส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง แต่ในกรณีของผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปีก็ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะมีโอกาสที่โรคซีอาร์วีโอจะพัฒนาไปเป็นแบบการอุดตันสมบูรณ์ จะทำให้การหมุนเวียนเลือดระหว่างในและนอกดวงตาหยุดชะงัก จนในที่สุดจอตาและเซลล์ต่าง ๆ ก็ไม่สามารถทำงานและตายไปเองในที่สุด
สำหรับการอุดตันแบบสมบูรณ์นั้น จะต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ซึ่งปกติแพทย์มักจะแนะนำให้ผ่าตัดด้วยเลเซอร์ทันทีที่ตรวจพบ เพื่อลดแรงดันภายในดวงตาและเพิ่มระดับการหมุนเวียนเลือด หลังจากที่มีอาการอุดตันนั้นผู้ป่วยมักจะเป็นโรคต้อหินตามมาในอนาคตอันใกล้
คนที่มีโอกาสเป็นโรคซีอาร์วีโอคือคนที่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือดเช่น ระบบโรคความดันโลหิตสูง ภาวะเลือดข้น การติดเชื้อของผนังหลอดเลือด ภาวะโปรตีนในเลือดผิดปกติ ไขมันในเลือดสูง และรวมไปถึงคนที่เป็นโรคเบาหวาน มีการใช้ยาคุมกำเนิด ยาขับปัสสาวะ
ระยะเริ่มต้นของโรคหลอดเลือดดำจอดตาอุดตันจะมีอาการตามัวฉับพลัน ส่วนใหญ่มักจะเป็นแค่ข้างเดียวแต่ก็มีโอกาสเป็นทั้งสองข้างเหมือนกัน ดังนั้นถ้าหากมีอาการควรจะรีบเข้าไปพบแพทย์เพื่อเร่งการวินิจฉัย เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะเป็นภาวะอุดตันแบบไหน บางรายอาจต้องผ่าตัดทันทีเพื่อลดแรงดันภายในดวงตา ถ้าหากรักษาไม่ทันการอาจจะต้องสูญเสียการมองเห็นถาวร

ROP (Retinopathy of Prematurity)

โรคอาร์โอพีหรือภาวะจอตาผิดปกติในทารกที่คลอดก่อนกำเนิด ทารกจะมีพังผืดเกิดขึ้นหลังบริเวณแก้วตาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ทำให้มีสภาวะสายตาเลือนราง ในกรณีที่เป็นหนักก็ถึงขั้นตาบอดสนิท ถ้าหลังคลอดแพทย์สามารถตรวจพบโรคนี้ได้อย่างรวดเร็วจะจะมีโอกาสรักษาให้เด็กสามารถมองเห็นเหมือนคนปกติแต่ถ้าสายเกินไปก็ต้องสูญเสียการมองเห็นตั้งแต่เด็ก
ถึงแม้โรคอาร์โอพีจะเริ่มก่อตัวพร้อมกับหลอดเลือดจอตาทารกตั้งแต่ที่มีอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ แต่กลับกันถ้าหากทารกมีอายุครรภ์มากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะหายจากโรคนี้ก็มากขึ้นเท่านั้น ในบางกรณีที่ทารกคลอดก่อนกำหนดมาก ๆ อาจจะมีสิทธิ์สูญเสียดวงตาตั้งแต่กำเนิด หลังจากคลอดออกมาแล้วยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคนี้รุนแรงขึ้นเช่น น้ำหนักแรกเกิดน้อยเนื่องจากการเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ เป็นผลให้ต้องได้รับออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจแต่ถ้าได้รับออกซิเจนมากเกินไปก็ส่งผลให้โรคนี้รุนแรงขึ้น
ปกติแล้วทารกที่คลอดก่อนกำเนิดมักจะถูกนำไปวินิจฉัยโรคอาร์โอพีอัตโนมัติซึ่งเป็นข้อบังคับของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ โดยจะพิจารณา 2 องค์ประกอบคือ น้ำหนักตัวและอายุครรภ์ ซึ่งกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวยังจะต้องหมั่นมาพบแพทย์เพื่อให้วินิจฉัยตั้งแต่หลังคลอดไปจนถึงอีกประมาณ 33 สัปดาห์ โดยการรักษามีหลายวิธีเช่น การผ่าตัด การใช้สารเคมี การจี้บริเวณที่เป็นด้วยความเย็น โรคนี้เป็นโรคที่รุนแรงมากจะต้องได้รับการรักษาเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ที่หลังจากตรวจพบ ถึงแม้จะรักษาแล้วยังมีโอกาสที่จะเป็นโรคสายตาเอียง สายตาสั้น ตาเข ตาขี้เกียจ โรคต้อตลอดจนถึงโรคจอตาหลุดลอกในอนาคต

เบาหวานกับดวงตา

โรคเบาหวานเป็นโรคที่มีคนเป็นจำนวนมาก ถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ที่มีความอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งเบาหวานเป็นต้นเหตุให้ร่างกายทำงานผิดปกติ ภูมิคุ้มกันต่ำ ตลอดถึงระบบเนื้อเยื่อ ระบบไหลเวียนเลือดที่มีการทำงานด้อยประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะดวงตาที่เป็นอวัยวะที่อ่อนแอที่สุดของร่างกายก็ได้รับผลกระทบจากโรคเบาหวานเช่นกัน ซึ่งกรณีร้ายแรงอาจถึงขั้นตาบอดถาวร
ถึงแม้การแพทย์ปัจจุบันจะก้าวหน้ามาก มีทั้งเทคโนโลยีและยาเคมีสำหรับการรักษาโรคเบาหวาน แต่การรักษาโรคนี้ให้หายขาดต้องอาศัยความมีระเบียบวินัยของผู้ป่วยในการปฏิบัติตามข้อบังคับยิบย่อยต่าง ๆ ซึ่งโรคเบาหวานสามารถลุกลามและสร้างความเสียหายให้กับดวงตาได้ หลายคนอาจจะเรียกว่าโรคเบาหวานขึ้นตา
เบาหวานขึ้นตาจะเป็นสาเหตุให้ดวงตามีการอักเสบ การเป็นอัมพาตของดวงตาแบบถาวร แล้วพัฒนาไปเป็นโรคต้อกระจกและต้อต้อหิน ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อบริเวณผิวดวงตาที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้และร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำจากโรคเบาหวานทำให้ไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคออกไปได้ ถ้าหากผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดให้อยู่ในระดับปลอดภัยไม่ได้อาการของดวงตาก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ ซึ่งปกติแล้วเบาหวานขึ้นตามักจะไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก กว่าจะวินิจฉัยโรคได้ก็ลุกลามไปมากในระดับหนึ่งแล้ว
ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานขึ้นตานั้นมักจะมีอาการเริ่มแรกคือ ตามัวแล้วมองเห็นภาพเบี้ยวในกรณีที่เป็นหนักมากขึ้น ดังนั้นคนที่เป็นโรคเบาหวานควรจะรับการตรวจดวงตาประจำปีอยู่เสมอ ประกอบกับควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเพื่อลดโอกาสตาบอดถาวร